กลับสู่ยุคอดีต ณ เมืองมัลลิกา ร.ศ.124
จะมีสักกี่ที่ ที่ยังคงคอนเซ็ปต์ที่ยังคงอนุรักษ์ความเป็นไทยหรือไทยโบราณไว้ให้คนรุ่นหลังๆได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของแต่ละสถานที่ในอดีต โดยมีหลักฐานไว้ให้ได้ดูชม ทั้ง ซากปรักหักพังของโบราณสถานทั่วประเทศ พงศาวดาร ทุกข้อความ คำพูดถูกจดลงสมุดเพื่อให้เยาวชนรุ่นหลังได้อ่านและได้รับความรู้โดยที่ไม่มีการบิดเบือนของประวัติศาสตร์และช่วงเวลา
อดีตก็ถูกเล่าจะกลายเป็นความสนุกที่มีแง่คิดสอดแทรกไว้เสมอ พูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่จะพาไปก็มาในแนวเป็นความย้อนยุคอีกครั้ง เป็นจะเป็นการย้อนยุคกลับไปดูวิถีชีวิตของพวกเราชาวสยามที่เคยได้อาศัยแบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งในเวลานั้นตรงกับรัชสมัยของเสด็จพ่อ ร. 5 ของเรา เป็นการจำลองการใช้ชีวิตเมื่อประมาณปี ร.ศ.หรือรัตนโกสินทร์ศกที่ 124 พอดี

เหตุผลที่เลือก คือในช่วงเวลานั้นเองได้เกิดมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากกับวิถีชีวิตของเราชาวสยาม และมีเหตุการณ์สำคัญที่ทุกคนรู้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในสมัยของ รัชกาลที่ 5 นั้นคือท่านได้มีการยกเลิกทาส ให้ความเป็นไท ให้ความอิสระแก่ทาส ณ เมืองมัลลิกา
จะมีค่าเข้าชมอยู่ที่ ผู้ใหญ่ราคา 250 แต่ถ้ารวมค่าชุดไทยด้วยจะเป็นราคา 400 บาทเด็กราคา 120 หากรวมค่าชุดไทยด้วยแล้วก็จะมีราคา 300บาท ราคาของผู้สูงอายุจะเท่ากับราคาของเด็ก โดยประตูทางเข้าเมืองมัลลิกา จะเป็นซุ้มประตูใหญ่ที่ถูกทาด้วยสีขาวล้วน
เมื่อเช้ามาจะเจอกับห้องจัดนิทรรศการเล่าเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชาวสยามหลังจากที่มีการประกาศเลิกทาส มีทั้งรูปภาพและชุดไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งโชว์อยู่ และยังมีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งใส่ชุดไทยในสมัยนั้น โดยบริเวณรอบๆ เมืองมัลลิกาจะตกแต่งไปด้วยตัวอาคารบ้านเรือนร้านค้าที่ถูกออกแบบให้มีความคล้ายกับตัวอาคารบ้านเรือนในสมัยรัชกาลที่ 5 ในเมืองมัลลิกาแห่งนี้จะไม่สามารถใช้เงินในยุคปัจจุบันซื้อของได้ จะต้องทำการแลกเงินที่สยามแบงค์กัมมาจล
(เป็นชื่อเดิมของธนาคารไทยพาณิชย์ในปัจจุบัน) โดยต้องแลกเงินในปัจจุบันเป็นเหรียญ และเป็นเหรียญที่มีความแปลกมากคือมีรูอยู่ตรงกลาง อัตราการแลกเงินของที่นี่จะอยู่ที่ 5 บาทต่อ 1 สตางค์ มีทั้ง 10 สตางค์ 2 สตางค์ 5 สตางค์ และ 10 สตางค์ มีขนมโบราณจากขนมลูกสมอขายอยู่ เป็นขนมที่จะถูกขายอยู่หน้าโรงเรียนทุกโรงเรียนในสมัยก่อน แม่ค้า ทุกร้านรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ให้แลกเงินจะแต่งกายด้วยชุดไทยสมัยรัชกาลที่ 5 กันทั้งหมด
และพูดถึงสมัยก่อนก็จะเต็มไปด้วยอาหารของหวานที่ในสมัยนี้มีแต่ทองหยิบทองหยอดและฝอยทอง ที่นี่จะมีทั้งขนมเสน่ห์จันทร์ ขนมจ่ามงกุฎ และขนมโบราณแท้ๆ อย่างขนม “บุหลันดั้นเมฆ” ขนมบุหลันดั้นเมฆจะอยู่ในถ้วยของขนมถ้วยโดยรอบๆจะเป็นเหมือนสีม่วงครามถ้าต้องการจะเป็นสีส้มหรือสีเหลืองนวลโดยให้ความหมายว่าบริเวณที่เป็นสีม่วงครามจะเป็นเหมือนท้องฟ้าในยามกลางคืน และตรงกลางที่เป็นรูปวงกลมสีเหลืองก็คือพระจันทร์ มีร้านขายน้ำที่จะขายน้ำทั่วไป เช่น น้ำกระเจี๊ยบ น้ำลำไย หรือน้ำมะนาว


ของกินที่หากินได้ยากอย่างหนึ่งที่จะมีอยู่แต่ที่เมืองมัลลิกาคือลูกชิ้นครองแครง โดยสูตรการทำลูกชิ้นครองแครง จะเป็นสูตรต้นตำรับชาววังวังสวนสุนันทา มีรสชาติออกหวานและเค็มและจะมีอาคารอยู่ 1 อาคารที่มีลักษณะเหมือนประภาคารถูกเรียกว่าหอชมเมือง รู้สึกจะเป็นเหมือนหอคอยแต่ที่เมืองมัลลิกาจะประยุกต์ใช้เป็นที่ใช้ชมทัศนียภาพแบบ 360 องศาของเมืองมัลลิกา
มีการจำนองเรือนของชาวบ้านที่ถูกเรียกว่าเรือนเดียว ลักษณะจะเหมือนเรือนไทยทั่วไปที่ยกสูงจากพื้นดิน โดยมีการระบุไว้ว่าเดือนเดียวแบบนี้จะเป็นที่อยู่สำหรับชาวบ้านชนชั้นธรรมดา และใกล้ๆ กันจะเป็นเรือนที่มีขนาดใหญ่สีสันสวยงาม แสดงให้เห็นถึงความมีฐานะมั่นคงของเจ้าของเรือน เรือนแห่งนี้จะถูกเรียกว่าเรือนคหบดี ถัดมาจะเป็นเรือนที่มีอยู่มากมาย ถูกเรียกว่าเรือนหมู่
มีหน้าที่เอาไว้เป็นเหมือนเรือนรับรองอาคันตุกะหรือแขกบ้านแขกเมือง และเมืองมัลลิกาจะมีลานกว้างที่เต็มไปด้วยต้นมะลิหลากหลายสายพันธุ์จึงถูกเรียกว่า “ลานมะลิ” เหตุที่ว่าทำไมเป็นต้นมะลิ เพราะคำว่ามัลลิกาแปลได้ว่า…มะลิ ตามแบบพจนานุกรมบัณฑิตยสถานนั่นเอง
สถานที่เที่ยว ที่น่าสนใจ ที่รวม ที่เที่ยว ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ไว้ที่นี่ทั้งหมด เที่ยวไปกับเรา tiewkanna.com สามารถติดตามทาง page Facebook กิน นอน เที่ยวไหน
คำขวัญจังหวัดกาญจนบุรี : แคว้นโบราณ ด่านเจดีย์ มณีเมืองกาญจน์ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แหล่งแร่ น้ำตก